• DHA มีความสำคัญต่อพัฒนาการและการทำงานอย่างสมบูรณ์ของระบบประสาทและสมองและ การมองเห็น^[1]

DHA มีความสำคัญในการช่วยพัฒนาของระบบประสาทและสมอง การวิจัยพบว่า DHA ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการเรียนรู้และความจำ ช่วยเสริมสร้างการพัฒนาทางด้านการเรียนรู้และพฤติกรรมต่างๆ การคิด วิเคราะห์ และการแก้ปัญหา^[2] นอกจากนี้ระดับ DHA ที่เพียงพอ^[3] ยังช่วยส่งเสริมการเชื่อมโยงของกระบวนการความคิด และการปรับปรุงกระบวนการคิด เช่น การแก้ปัญหาและการให้ความสนใจในสิ่งรอบตัว และยังช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ทางพฤติกรรม สามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดี

• Omega 3 6 9 สารอาหารที่สำคัญสำหรับพัฒนาการของเด็ก ด้านการเติบโตของระบบประสาท การพัฒนาทางสมอง และการมองเห็น ซึ่งโอเมก้า 3 และ 6 ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง โดยประโยชน์ของแต่ละโอเมก้า^[4] มีดังนี้
  • โอเมก้า 3 : พัฒนาประสาทและสมอง พร้อมเพิ่มการเติบโตของเซลล์ประสาทและเสริมสร้างความสามารถทางการเรียนรู้ ความจำ และการแก้ปัญหา รวมไปถึงพัฒนาการทางด้านพฤติกรรม การศึกษาพบว่าการเสริมโอเมก้า 3 มีผลดีต่อพัฒนาการ ADHD หรือ โรคสมาธิสั้น
  • โอเมก้า 6 : มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง และมีผลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรม ช่วยเชื่อมต่อระบบประสาทและมีบทบาทในการสร้างสารสื่อประสาท เสริมสร้างกระบวนการคิด การเชื่อมโยงของกระบวนการคิด ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และพฤติกรรมของเด็ก รวมถึงมีผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม
  • โอเมก้า 9 : เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง และพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา และอะโวคาโด ถึงแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทเฉพาะของโอเมก้า 9 ต่อพัฒนาการของเด็ก อย่างไรก็ตาม การบริโภคไขมันที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงโอเมก้า 9 เป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่สมดุล อาจสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการโดยรวมของเด็กได้

• MFGM ความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองและระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก

MFGM (Milk Fat Globule Membrane) เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันหลายชนิด การที่ได้รับ MFGM อย่างเพียงพอในวัยเด็กตอนต้นจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองและระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก^[5] โดยประโยชน์ของ MFGM คือ ส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและการรับรู้ เสริมสร้างเส้นใยประสาทและการส่งเชื่อมต่อของเซลล์สมอง ทำให้มีพัฒนาทางสมองที่ดีขึ้นและการทำงานของระบบประสาทที่ดีขึ้น ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยทั้งระดับ IQ, EQ และ EF ที่ดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่าการได้รับ MFGM ที่เพียงพอในช่วงต้นของชีวิตจะมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการของเด็กที่ดีขึ้นเมื่ออายุ 5.5 ปี^[6]

• สฟิงโกไมอีลิน มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของเด็ก

สฟิงโกไมอีลิน (Sphingomyelin) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของเด็ก โดยเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มไมอีลินที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท สนับสนุนการพัฒนาทางปัญญา ความจำ และการเรียนรู้^[7] นอกจากนี้ยังช่วยเสริมระบบประสาท โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทที่ส่งเสริมการทำงานของสมองอย่างมีประสิทธิภาพ

• วิตามินบี12 หรือโคบาลามิน (Cobalamin) มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง

วิตามินบี12 (Cobalamin) จะช่วยในการสังเคราะห์ DNA การแบ่งเซลล์ และการสร้างปลอกไมอีลิน ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางปัญญา ทักษะด้านภาษา และการสื่อสาร นอกจากนี้ วิตามินบี12 ยังมีส่วนช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและป้องกัน ภาวะโลหิตจาง ดังนั้น การได้รับวิตามินบี12 อย่างเพียงพอจึงจำเป็นต่อพัฒนาการทางสมอง โดยรวมของเด็ก^[8]

• โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารสำคัญ ช่วยสนับสนุนการพัฒนาสมองตามปกติ ปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ในเด็ก^[13]

สรุปความสัมพันธ์ในการทำงานของสารอาหารในการพัฒนาสมอง การทำงานของระบบประสาทและความสามารถในการเรียนรู้ ได้ดังนี้

• DHA + Omega 3 + MFGM: ช่วยพัฒนาเยื่อหุ้มเซลล์สมองและการสื่อสารระหว่างเซลล์^{[11] [12]}
• Sphingomyelin + B12 + DHA + Choline: เสริมสร้างและปกป้องไมอีลิน เพื่อให้ส่งสัญญาณประสาทได้ดีขึ้น^{[11] [12] [13]}
• MFGM + Sphingomyelin: ช่วยให้พัฒนาการของสมองดีขึ้นทั้งด้านโครงสร้างและการเรียนรู้^{[11] [12]}

จะเห็นได้ว่าสารอาหารทั้งหมดจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาและปกป้องสมองโดยเฉพาะในด้านโครงสร้างเซลล์ประสาท การสื่อสารของเซลล์สมอง และการส่งสัญญาณประสาท ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ สมาธิ และการทำงานของระบบประสาทโดยรวม